นายจุรินทร์ กล่าวถึงการที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดกับโลกในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลนำการค้า หรือ Digital Technology led commerce ผู้ประกอบการที่สามารถใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้รวดเร็ว อาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนา โดยอาศัยเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เช่น การสื่อสารแบบ 5G, เทคโนโลยี Cloud, Big Data, Robotics, Machine Learning, Artificial Intelligence และอื่น ๆ เข้ามาช่วยในการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพนายจุรินทร์ กล่าวขอบคุณบริษัทหัวเว่ย ที่ได้ให้เกียรติกับกระทรวงพาณิชย์ในการลงนามทำ MOU ร่วมกันในการจัดให้มีหลักสูตรในการให้ความรู้ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีขึ้นกับ SMEs และผู้ที่สนใจในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถที่จะมีตัวเลขทางการค้าเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบอีคอมเมิร์ซ ความสำคัญของการลงนาม MOU สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปและประเทศไทยก็มีความจำเป็นที่จะต้องก้าวให้ทันโลกและต้องพร้อมที่จะก้าวไปกับโลกที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะโลกยุคปัจจุบันกับสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้มีความจำเป็นที่จะต้องทำนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและทวีความสำคัญยิ่งขึ้นใครตามเทคโนโลยีไม่ทันก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและใครสามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความก้าวหน้าและใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะเป็นผู้ได้เปรียบในเวที ไม่เฉพาะเศรษฐกิจแม้แต่วิธีการเมืองและวิธีสังคมโลกก็ตามไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน
นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผย “หัวเว่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังร่วมกับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มสตาร์ทอัพ ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้สอดคล้องกับพันธกิจระยะยาวของเราในการช่วยประเทศไทยขับเคลื่อนไปสู่การเป็น “ประเทศไทย 4.0” ผ่านการทรานสฟอร์มด้านดิจิทัล ด้วยความเชี่ยวชาญของเราในการพัฒนาหลักสูตรด้านเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมเทคโนโลยีด้านไอซีทีแบบครบวงจร เราเชื่อมั่นว่า ความรู้และทักษะที่เรานำมาแบ่งปันให้กับทุกคน จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่ธุรกิจ SME สตาร์ทอัพ และบุคคลทั่วไปที่เข้าร่วมอบรมกับเรา ผู้ที่จบหลักสูตรนี้จะได้เรียนรู้ทักษะดิจิทัลที่สำคัญและช่วยให้พวกเขาสามารถคว้าโอกาสใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัลได้”
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จในการทำการค้าทั้งในและต่างประเทศ จึงได้เสาะหาพันธมิตรที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งภายใต้บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย จำกัด มีสถานฝึกวิชาชีพ หัวเว่ย อาเซียน อะคาเดมี่ (Huawei ASEAN Academy) ที่มีหลักสูตรฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่า 3,000 หลักสูตร โดยจะนําหลักสูตรที่มุ่งเน้นความรู้ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology) มาใช้ร่วมกับการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ NEA นำร่องด้วยหลักสูตร “SMEs ตามทันเทคโนโลยีดิจิทัล” (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) บุคลากรรุ่นใหม่ (Gen-Z) ธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ (Start Up) รวมถึงผู้สนใจทั่วไปและผู้บริหารของทั้งภาครัฐและเอกชน
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า กระทรวงพาณิชย์มีความเห็นว่าอย่างน้อยเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างสูงในการพัฒนาธุรกิจภาคเอกชนของประเทศควรจะประกอบด้วยอย่างน้อยเทคโนโลยี 5G ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในอาเซียนที่เริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น IoT (Internet of Things) ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีบทบาทมาระยะหนึ่งแล้ว จะต้องมีการพัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง ขอให้พวกเราตามทัน เพราะหัวเว่ยไปเร็วมาก รวมทั้งระบบคลาวด์ก็จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเก็บข้อมูลและบริหารจัดการข้อมูล เพื่อนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำทุกที่ทุกเวลา อย่างน้อย 3 ตัวนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสำหรับภาคธุรกิจในประเทศไทย SMEs มีความสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้ SMEs ถือว่าเป็นธุรกิจฐานรากที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต และจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นไปเช่นเดียวกับหลายประเทศในโลก
ประเทศไทยมี SMEs กว่า 2-3 ล้านราย นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ไม่ใช่แค่มุ่งพัฒนา SMEs ให้สามารถนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เพื่อประกอบธุรกิจให้ทันโลกเท่านั้น แต่เรายังมีความเห็นเพิ่มเติมว่าเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือกำลังจะเรียนจบในระดับมหาวิทยาลัยที่จะก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจต่อไปในอนาคต จะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสำคัญที่จะต้องได้รับการพัฒนาหรือเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีเพื่อเตรียมตัวเป็น CEO ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นนอกจากนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ในการพัฒนา SMEs ให้สามารถใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลได้อย่างคล่องตัว เด็กรุ่นใหม่ก็จะต้องได้รับการเตรียมการเช่นเดียวกัน ตามโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ริเริ่มขึ้นโดย NEA หรือสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เช่น การปั้น Gen Z ให้เป็น CEO หรือโครงการ CEO Gen Z ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนว่าภายในหนึ่งปีจะปั้นให้เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 12,000 ราย ได้ริเริ่มไปแล้วระยะหนึ่งโดยได้รวบรวมนักศึกษาที่ให้ความสนใจในมหาวิทยาลัยภาคเหนือ 7 แห่งมารวมกันแล้วจัดอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซทำการค้าออนไลน์ให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลถัดจากนี้ไปก็จะไปทำในภาคใต้มหาวิทยาลัยทุกแห่งที่สนใจ และไปทำกับภาคอีสาน ภาคกลาง ในกรุงเทพมหานครและจะเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัย ทำ MOU กับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดให้มีการโอนหน่วยกิต ถ้ามาอบรม CEO Gen Z หลักสูตรนี้ของกระทรวงพาณิชย์จะได้รับหน่วยกิตสำหรับการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยไปด้วย ถือว่าเป็นความก้าวหน้าและเชื่อว่าภายในหนึ่งปี 12,000 คนจะเป็นทัพคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศในการเพิ่มมูลค่าการค้า
ส่วนการฝึกอบรม SMEs ที่เราทำในวันนี้ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะอบรม SMEs ให้ได้ถึง 1,000 ราย โดยการอบรม 3 วันที่ผ่านมาทำได้ 250 ราย ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา SMEs ซึ่งจะเป็นฐานกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไปในยุค New Normal ที่สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเราจับมือกันพลิกโควิดให้เป็นโอกาสได้ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า
นอกจากนี้ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) และ Huawei ASEAN Academy ได้เตรียมจัดการอบรมให้ความรู้ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology) ขึ้นอีกในอนาคต สำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นได้ทาง https://www.facebook.com/familyditp, https://www.facebook.com/nea.ditp/, https://www.facebook.com/HuaweiTechTH/ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 092-259-0953 หรือ https://nea.ditp.go.th/
No comments:
Post a Comment