มิราเคิลคอนเฟอเรนซ์ และแอสฟาร์ เปิดตัวงานประชุมธุรกิจครั้งใหญ่ Thai Saudi Business Bridge Conference 2026 ที่จะเชื่อมธุรกิจไทยกับโอกาศในตลาดซาอุดีอาระเบียและกลุ่มรัฐอ่าวอาหรับ
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบียกำลังก้าวสู่บทใหม่ เมื่อมิราเคิลคอนเฟอเรนซ์ นำโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอมัด ยูเซฟ อัลลุกมานี และแอสฟาร์คอมพานี นำโดยประธาน ซามีร์ ฟาตานี เตรียมจัดงาน Thai–Saudi Trade Bridge 2026 แพลตฟอร์มด้านการค้าและการลงทุนระดับภูมิภาค ที่ออกแบบมาเพื่อเปิดช่องทางเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและคู่ค้าในซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นระบบ
งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 กุมภาพันธ์ 2026 ที่เมืองตาอีฟและเจดดาห์ โดยมุ่งเป็นเวทีสำคัญให้ธุรกิจไทยได้เข้าถึงอุตสาหกรรมดาวรุ่งภายใต้กรอบวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ของรัฐบาลซาอุฯ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สุขภาพ การก่อสร้าง อาหารแปรรูป บริการสุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค
อัซฮาร์ อะห์หมัด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทแอสฟาร์ประเทศไทย และผู้ประสานงานความร่วมมือไทย–ซาอุฯ กล่าวว่างานนี้จะเป็น “สะพานธุรกิจระหว่างสองราชอาณาจักร” ซึ่งที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีโครงสร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากข้อจำกัดทางการทูตในอดีต แม้ความสัมพันธ์จะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อสี่ปีก่อน แต่ปริมาณการค้าระหว่างกันยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างมาเลเซียอย่างมาก เขาจึงตั้งใจให้ Thai–Saudi Trade Bridge 2026 เป็นประตูการค้าที่จะช่วยลดช่องว่างดังกล่าว
นโยบายSaudi Vision 2030
ซาอุดีอาระเบียกำลังเดินหน้าเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศภายใต้ Vision 2030 ลดการพึงพาเศรษฐกิจจากการค้าน้ำมัน ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน SMEs ใน GDP จาก 21% เป็น 35% ดันรายได้จากการส่งออกนอกภาคน้ำมันสู่สัดส่วน 50% ของ GDP เพิ่มเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศให้เกิน 100,000 ล้านดอลลาร์ และต้อนรับนักท่องเที่ยวให้ถึง 150 ล้านคนต่อปี
เศรษฐกิจซาอุฯโตจาก 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2022 เป็น 1.24 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 และยังขยายโอกาสอย่างต่อเนื่องในภาคท่องเที่ยว ดิจิทัล การก่อสร้าง เทคโนโลยีสีเขียว การแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับจุดแข็งของผู้ประกอบการไทย
งาน 4 วันของ Thai–Saudi Trade Bridge 2026 จะจัดขึ้นทั้งในตาอีฟและเจดดาห์ ครอบคลุมการนำเสนอความต้องการลงทุน โอกาสช่องว่างในอุตสาหกรรม และรูปแบบความร่วมมือระยะยาว โดยคาดว่าจะมีนักธุรกิจเข้าร่วมกว่า 40,000 คน
- วันที่หนึ่ง ผู้เข้าร่วมจะพบกับหอการค้าตาอีฟ ตาอีฟเป็นเมืองที่โดดเด่นด้าน SMEs การแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมเบา และเกษตรกรรม
- วันที่สอง จะพบกับหอการค้าเจดดาห์ เจดดาห์คือเมืองเศรษฐกิจหลักของประเทศที่เป็นศูนย์รวมผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย และสำนักงานใหญ่ของหลายบริษัทใหญ่ รวมถึงท่าเรือสำคัญบนชายฝั่งทะเลแดงซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่เติบโต
- วันที่สาม วันเปิดงาน Thai–Saudi Trade Bridge 2026 ผู้เข้าร่วมจะพบกับรัฐมนตรีซาอุฯ นักลงทุน และบริษัทขนาดใหญ่ ที่โรงแรม The Ritz-Carlton
- วันที่สี่ ซึ่งเป็นวันที่สองของงาน ผู้เข้าร่วมจะมีโอกาสได้เข้าประชุมสัมมนาที่งาน และเน็ตเวิร์คกับตัวจริงในวงธุรกิจในงานกาลาดินเนอร์ ที่ โรงแรม The Ritz-Carlton
อัซฮาร์ กล่าวว่าเดือนกุมภาพันธ์เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำเสนอสินค้าหรือบริการเข้าสู่ตลาด เนื่องจากอยู่ในช่วงที่คนคนจากทั่วโลกเดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ ทำให้ผู้แทนธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงทั้งตลาดซาอุฯ และผู้เดินทางจากทั่วโลกที่มาประกอบพิธีทางศาสนา
สร้างความแตกต่างในงานThai Trade Bridge
ไฮไลต์สำคัญที่อัซฮาร์กล่าวถึงของงานนี้คือ “โชว์รูมวิลล่า” ในเจดดาห์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์แสดงสินค้าไทยระยะยาว จัดแสดงสินค้านาน 12 เดือนสำหรับผู้เข้าร่วมระดับพรีเมียม และ 24 เดือนสำหรับระดับผู้เข้าร่วมระดับสปอนเซอร์
พื้นที่จัดแสดงสินค้าในงานมีจำนวนจำกัดซึ่งผู้เข้าร่วมงานตามสองแพ็คเกจนี้ จะได้รับบริการทำการตลาดกับกลุ่มรัฐอ่าวอาหรับ GCC ทั้งซาอุฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และคูเวต และได้รับบริการด้านขอใบอนุญาต มาตรฐานสินค้า และการตั้งธุรกิจในซาอุฯ ไม่ว่าจะเป็นแบบการถือหุ้น 100% หรือการร่วมทุน 51/49 ตลอดจนบริการจับคู่กับนักลงทุนซาอุฯ
โดยในช่วงเวลา12 เดือน (พรีเมียม) หรือ 24 เดือน (สปอนเซอร์) มิราเคิลจะจัดทำรายงานผลการดำเนินงานเป็นรายเดือน หาก ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการหาข้อตกลงการค้าให้ผู้เข้าร่วมได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามเงื่อนไขที่ อัซฮาร์ เรียกว่า “Golden Insurance” ผู้เข้าร่วมจะมีสิทธิ์ได้รับเงินคืน 50%
อัซฮาร์ระบุว่าการเข้าสู่ตลาดซาอุดีอาระเบียมีความซับซ้อนหลายด้าน บทบาทของทีมงานคือช่วยผู้ประกอบการไทยหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ผ่านการจับคู่ล่วงหน้า การวิเคราะห์ความต้องการตลาด การสนับสนุนการขอใบอนุญาต และการเป็นตัวแทนระยะยาว
แนวโน้มตลาดซาอุฯกับสินค้าไทย
สำหรับสินค้าที่มีศักยภาพสูงในตลาดซาอุฯปัจจุบันมีความต้องการเด่นชัดในสินค้าออร์แกนิกเพื่อสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สินค้าเวชสำอาง น้ำหอมและเครื่องหอมในบ้าน อาหารเพื่อสุขภาพ สินค้าเกษตร และสินค้าตกแต่งภายใน ขณะเดียวกันเมืองเจดดาห์ที่กำลังอยู่ในช่วงขยายเมืองครั้งใหญ่ ทำให้ภาคการก่อสร้าง และธุรกิจสปา–เวลเนส เป็นที่ต้องการสูงเป็นพิเศษ ผู้บริโภคซาอุฯ ยังมีวัฒนธรรมการใช้จ่ายกับน้ำหอมและผลิตภัณฑ์กลิ่นหอมในบ้าน ซึ่งถือเป็นตลาดที่แบรนด์ไทยมีโอกาสเติบโต
แม้เม็ดเงินการลงทุนจะขึ้นอยู่กับจำนวนและประเภทของผู้เข้าร่วมงาน แต่ผู้จัดงานประเมินว่ามูลค่าการเจรจาและการลงทุนอาจสูงกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ครอบคลุมการลงทุนโดยตรงในธุรกิจไทย ความร่วมมือสำหรับการเข้าสู่ตลาดซาอุฯ สัญญาอนุญาตและการจัดจำหน่าย และโอกาสขยายตลาดสู่ GCC ทั้งภูมิภาค นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังจะได้พบกับนักลงทุนซาอุฯ ที่สนใจลงทุนในประเทศไทยโดยตรง
Thai–Saudi Trade Bridge 2026 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสะพานเชื่อมธุรกิจการค้าระหว่างสองประเทศเท่านั้น มิราเคิลคอนเฟอเรนซ์และแอสฟาร์มีแผนจัดงาน Grand Sport Festival ในซาอุดีอาระเบีย เดือนตุลาคมปีหน้า งาน Vision Summit ที่กรุงเทพฯ ปี 2027 รวมถึงงานที่จะสนับสนุนสินค้า SMEs และ OEMs ของไทยโดยเฉพาะ
อัซฮาร์กล่าวปิดท้ายว่า “นี่ไม่ใช่งานแสดงสินค้า แต่เป็นความร่วมมือระยะยาวที่จะสร้างสะพานธุรกิจระหว่างสองราชอาณาจักร เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ไปด้วยกัน”





No comments:
Post a Comment