สืบเนื่องจากข่าว นักเรียนเทคนิค ขี่จักรยานยนต์ประกบ ก่อนปาดหน้า พร้อมใช้ปืนปากกาขู่เอาหัวเข็มขัดจากเด็กเทคโนฯ อ้างแค่หยอก รวบ 2 โจ๋ ยืมรถเพื่อนมาก่อเหตุ ใช้ปืนจี้ชิงหัวเข็มขัดสถาบันดังแห่งหนึ่ง รับไม่เจาะจงว่าเป็นนักเรียนที่ไหน
กลุ่มวัยรุ่น 3 คน ก่อเหตุขี้รถจักรยานยนต์ตระเวณ ขู่-ทำร้ายร่างกายนักเรียนต่างสถาบัน ชิงหัวเข็มขัด – เสื้อช็อป นี่เป็นเพียงบางข่าวที่ผู้เขียนนำมาเปิดประเด็นให้เห็นว่า “หัวเข็มขัดสถาบัน หรือ เสื้อช็อป” มันมีค่ามากมายขนาดไหน จึงต้องเอามาเป็นของตนเองให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธี ข่มขู่ ทำร้าย ใช้อาวุธ หรือ เป็นเพียงการ “ แสดงอำนาจบาตรใหญ่” หรือมันเป็น “ลัทธิเอาอย่าง” บังเอิญที่ ผู้เขียนทำหน้าที่ “พนักงานอัยการ” หรือ “ทนายแผ่นดิน” รับผิดชอบ “งานคดีในศาลสูงในส่วนของพนักงานอัยการ” หรือที่เรียกว่า “ อัยการศาลสูง” มีคดีในลักษณะ ทำนองเดียวกับ ข่าวดังกล่าวข้างต้น
คดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัด............ เป็นโจทก์ฟ้อง นาย อ. ......... เป็นจำเลย ในความผิดฐาน “ ชิงทรัพย์ ความผิดต่อร่างกาย และความผิดลหุโทษ”
มาดูคำฟ้อง
เมื่อวันที่ .......กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกัน พาอาวุธมีดพก ยาวประมาณ ๑๕ ซ.ม จำนวน ๑ เล่ม และอาวุธมีดแบบหัวตัด ยาวประมาณ ๖๐ ซ.ม จำนวน ๑ เล่ม ติดตัวไปบริเวณถนนสุขสวัสดิ์อันเป็นในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันควร และ จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกัน “ชิงทรัพย์” โดยร่วมกันลัก เอาเข็มขัด ๑ เส้น ราคา ๒๐๐ บาท ของนาย อ.............ผู้เสียหายที่ ๑ ไปโดยทุจริต และร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๑ ด้วยการชกที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายที่ ๑ จำนวน ๑ ครั้ง จนผู้เสียหายที่ ๑ ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จากนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธมีดพกซึ่งจำเลยกับพวกพาติดตัวไปด้วยดังกล่าวจี้ที่บริเวณเอวของผู้เสียหายที่ ๑ อันเป็นการขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายโดยจะใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงทำร้ายผู้เสียหายที่ ๑ แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๑ และ นาย จ..........ผู้เสียหายที่ ๒ ด้วยการใช้อาวุธมีดแบบหัวตัด ซึ่งจำเลยกับพวกพาติดตัวไปด้วยดังกล่าว ฟันที่บริเวณศีรษะของผู้เสียหายที่ ๑ จำนวน ๒ ครั้งและฟันที่ศีรษะของผู้เสียหายที่ ๒ จำนวน ๑ ครั้ง จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทั้งนี้ เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้นและยึดถือเอาทรัพย์นั้น จำเลยกับพวกร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ ๑ คัน เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิด พาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม
พนักงานอัยการโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๒๙๕, ๓๓๙ ( ชิงทรัพย์), ๓๔๐ ตรี (ชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ), ๓๗๑ จากคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ดังกล่าว สรุป คือ ฟ้องว่า “จำเลยชิงทรัพย์ (หัวเข็มขัด) โดยมีและใช้อาวุธมีด และโดยใช้ยานพาหนะฯ” ต่อมา จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้น จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ (ทำร้ายร่างกาย) , ๓๐๙ วรรคสอง (ความผิดต่อเสรีภาพ –ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการ), ๓๗๑ ประกอบมาตรา ๘๓ ลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสาม เนื่องจากจำเลยอายุสิบแปดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปี ตามมาตรา ๗๖ ให้ลงโทษฐาน “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก ๘ เดือน และฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธ” จำคุก ๑ ปี ๔ เดือน และฐาน “พาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะฯ ปรับ ๖๐๐ บาท” จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตาม มาตรา ๗๘ คงเหลือโทษ รวม จำคุก ๑๒ เดือน และปรับ ๓๐๐ บาท
จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว จะเห็นได้ว่า คดีนี้ พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ฐาน “ ชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ฯ ตามมาตรา ๓๓๙ , ๓๔๐ ตรี ซึ่งมีระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ ๗.๕ ปี ถึง ๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ถึง ๓๐๐,๐๐๐ บาท แต่ศาลชั้นต้น กลับพิพากษาลงโทษจำเลย ในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกาย ฯ ตามมาตรา ๒๙๕ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท และ ความผิดต่อเสรีภาพ –ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการโดยมีอาวุธ ตามมาตรา, ๓๐๙ วรรค ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือ ปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งมีความแตกต่างไปจากที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยเป็นอย่างมาก ทั้งฐานความผิด และการกำหนดโทษของศาล เมื่อมาพิจารณาเหตุผลของศาลชั้นต้น ที่พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา ๒๙๕ และฐาน ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการโดยมีอาวุธ ตามมาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการ “แสดงอำนาจบาตรใหญ่”
คดีนี้ หาก พนักงานอัยการโจทก์ ไม่อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว ก็อาจกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ว่า การลักทรัพย์ การชิงทรัพย์ การปล้นทรัพย์ (หัวเข็มขัด หรือ เสื้อช็อป) ไม่เป็นความผิดฐาน “ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์” แต่เป็นการ แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เป็นความผิดต่อเสรีภาพไป และต่อไปอาจเป็น “ลัทธิเอาอย่าง” ให้เด็กทั้งในระบบ และนอกระบบ แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เอาหัวเข็มขัดสถาบัน เอาเสื้อช็อปของผู้อื่น โดยมี โดยใช้อาวุธ โดยใช้กำลังประทุษร้ายทำร้ายร่างกายผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่ง หัวเข็มขัด เสื้อช็อป สังคมก็จะไม่สงบสุข
ดังนั้น คดีนี้ พนักงานอัยการโจทก์ ( อัยการศาลสูง) จึงอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านว่า “การที่จำเลยเอาหัวเข็มขัดของผู้เสียหายที่ ๑ ไปถือได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐาน ร่วมกันชิงทรัพย์ตามฟ้องแล้ว” การที่จำเลยกับพวก ต่อยผู้เสียหายที่ ๑ และใช้อาวุธมีดจี้เอวของผู้เสียหายที่ ๒ เพื่อให้ถอดหัวเข็มขัดออกแล้วจำเลยใช้อาวุธมีดหัวตัดฟันไปยังบริเวณศีรษะของผู้เสียหายทั้งสองจนผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ กรณีดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ จำเลยอายุ ๑๙ ปีแล้วย่อมที่จะต้องคิดได้แล้วว่า ไม่มีสิทธิที่จะเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป เป็นการแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่ เป็นการกระทำด้วยความคึกคะนอง
ต่อมา คดีนี้ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วยกับ “อุทธรณ์ของพนักงานอัยการโจทก์” จึงพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษา “แก้” เป็นจำเลยมีความผิดฐาน ร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธในเวลากลางคืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยใช้ยานพาหนะ ฯ ตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสาม , ๓๔๐ ตรี และฐาน พาอาวุธฯ ตามมาตรา ๓๗๑ ปรับ ๕๐๐ บาท รวมจำคุก ๗ ปี ๖ เดือน และปรับ ๕๐๐ บาท รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๓ ปี ๙ เดือน และปรับ ๒๕๐ บาท ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น คดีนี้พนักงานอัยการโจทก์ (อัยการศาลสูง) ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไว้ คดีจึงไม่กลายเป็นบรรทัดฐานว่า “ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ (หัวเข็มขัด เสื้อช็อป) เป็น การแสดงอำนาจบาตรใหญ่ หรือ เป็นการกระทำด้วยความคึกคะนอง”
ดังนั้น อย่าหาทำ อย่าทำเพื่อคึกคะนอง อย่าแสดงอำนาจบาตรใหญ่ด้วยการไปเอาหัวเข็มขัดสถาบัน เอาเสื้อช็อปของผู้อื่นมา ไม่ว่าจะอ้างว่า เป็นธรรมเนียม เป็นประเพณี หรือ เป็นการแสดงพลัง หรือทำตามคำสั่งรุ่นพี่ เพราะมันเป็นความผิดฐาน “ลักทรัพย์, ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์” (แล้วแต่กรณี) ซึ่งมีโทษจำคุก อาจติดคุกจริง และมีประวัติการกระทำผิด โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ทั้งสามฐานดังกล่าวจะติดตัวตลอดไป
• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
• อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
• (อดีต)รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่ ๒๕)
• ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๗
No comments:
Post a Comment